เพชรแลปสเปคเดียวกัน ทำไมแต่ละร้านราคาไม่เท่ากัน

เพชรแลป หรือที่บางคนเรียกว่า “เพชรที่อยู่ในแลป” กลายเป็นตัวเลือกยอดนิยมสำหรับผู้ที่มองหาเพชรคุณภาพดีในราคาจับต้องได้ ด้วยคุณสมบัติที่เหมือนเพชรธรรมชาติแทบทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็น 4Cs อย่างน้ำหนัก สี ความสะอาด และการเจียระไน

แต่สิ่งที่ทำให้หลายคนสับสนคือ เพชรแลปสเปคเดียวกันจากแต่ละร้าน ทำไมราคาถึงต่างกัน?

บทความนี้จาก NEO JEWELRY จะช่วยไขข้อสงสัย พร้อมอธิบายปัจจัยเบื้องหลังราคาที่แตกต่างกัน เพื่อให้คุณเลือกซื้อเพชรได้อย่างมั่นใจและคุ้มค่าที่สุด

1. ใบรับรอง (Certificate) – หัวใจสำคัญที่กำหนดมูลค่าและราคาของ “เพชรแลป”

เพชรแลปที่มีใบเซอร์รับรองจากสถาบันที่น่าเชื่อถือ เช่น IGI หรือ GIA จะมีราคาสูงกว่าเพชรที่ไม่มีใบเซอร์ หรือใบเซอร์จากสถาบันที่ไม่เป็นที่รู้จัก สิ่งแรกที่คุณควรพิจารณาเลยเมื่อเลือกซื้อเพชร คือ ใบเซอร์เพชร (Diamond Certificate) ต้องออกโดยสถาบันอัญมณีศาสตร์ชั้นนำที่ทำหน้าที่ตรวจสอบและให้เกรดเพชรอย่างเป็นกลาง แต่ละสถาบันก็มีมาตรฐานและความเชี่ยวชาญที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเป็นเพชรที่สร้างขึ้นในห้องปฏิบัติการ (Lab-Grown Diamonds)

  • IGI (International Gemological Institute) ผู้นำตลาดและตัวเลือกยอดนิยมสำหรับ “เพชรแลป” คุณจะเห็นใบรับรองของ IGI บ่อยที่สุดเมื่อซื้อเพชรแลป IGI เป็นสถาบันแรกๆ ที่ยอมรับและพัฒนามาตรฐานการให้เกรดเพชรแลปอย่างจริงจังมาตั้งแต่ปี 2005 ด้วยความมุ่งมั่นนี้ ทำให้ IGI มีความเชี่ยวชาญสูงและครองส่วนแบ่งตลาดส่วนใหญ่ในการออกใบรับรองเพชรประเภทนี้
    • มาตรฐานคุณภาพที่ดีเยี่ยม  IGI ให้เกรด 4Cs (Carat, Color, Clarity, Cut) สำหรับเพชรแลปได้อย่างละเอียดและสม่ำเสมอ ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ผู้ผลิตและผู้ค้าส่วนใหญ่ในตลาดเพชรแลป ใช้เป็นเกณฑ์อ้างอิง คุณจึงมั่นใจได้ในคุณภาพของเพชรแล็บที่เซอร์โดย IGI
    • เป็นที่นิยมและเข้าถึงง่ายกว่าด้านราคา  ผู้ผลิตเพชรแลปส่วนใหญ่เลือกส่งเพชรไปตรวจสอบกับ IGI เพราะ IGI มีระบบรองรับที่แข็งแกร่ง และโดยทั่วไป ค่าใช้จ่ายในการออกใบรับรองกับ IGI นั้นย่อมเยากว่า GIA สำหรับเพชรแลป ทำให้เพชรแล็บที่มาพร้อมเซอร์ IGI มีราคาขายที่เข้าถึงได้ง่ายกว่า ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ IGI ได้รับความนิยมอย่างล้นหลามในตลาดนี้
  • GIA (Gemological Institute of America)  มาตรฐานระดับโลกที่กำลังเติบโตในตลาด เพชรแลป GIA เป็นสถาบันที่ได้รับการยอมรับในระดับโลกในฐานะ “มาตรฐานทองคำ” สำหรับเพชรธรรมชาติ และกำลังขยายบทบาทในตลาดเพชรแล็บมากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา (โดยปัจจุบัน GIA ก็ให้เกรด 4Cs ที่ละเอียดสำหรับเพชรแล็บเช่นกัน)
    • คุณภาพเป็นเลิศ แน่นอนว่ามาตรฐานการให้เกรดของ GIA นั้นสูงและเชื่อถือได้ เพชรแลปที่ได้รับการรับรองจาก GIA จึงมั่นใจได้ในคุณภาพ
    • ราคาที่สูงกว่าเล็กน้อย  แม้ GIA จะมีชื่อเสียงโด่งดัง แต่โดยรวมแล้ว เพชรแล็บที่มีใบรับรอง GIA มักจะมีราคาสูงกว่าเพชรแล็บที่มีใบรับรอง IGI ในสเปคที่ใกล้เคียงกันเล็กน้อย ซึ่งอาจเป็นผลมาจากค่าบริการที่สูงกว่าหรือการรับรู้ถึง “พรีเมียม” ของแบรนด์ GIA
  • สถาบันอื่น ๆ (เช่น HRD, AGS, AIGS) ตัวเลือกเสริมในบางตลาด ยังมีสถาบันอื่น ๆ ที่ออกใบรับรองเพชรที่ปลูกในแลป แต่ยังไม่เป็นที่นิยมหรือมีส่วนแบ่งตลาดมากเท่า IGI หรือ GIA คุณภาพการให้เกรดอาจแตกต่างกันไป และการยอมรับในตลาดอาจยังไม่กว้างขวางเท่าสองสถาบันหลัก

2. สารเรืองแสง (Fluorescence) – เมื่อแสง UV เปลี่ยนแปลงราคา

เพชรบางเม็ดเมื่ออยู่ใต้แสง UV จะเกิดแสงเรือง (Fluorescence) ซึ่งอาจทำให้เพชรดูขุ่นในบางสภาพแสง โดยทั่วไปเพชรที่ไม่มี fluorescence หรือมีระดับต่ำ จะราคาสูงกว่า

Fluorescence คือปรากฏการณ์ที่เพชรจะเรืองแสงเป็นสีต่างๆ (ส่วนใหญ่เป็นสีฟ้า) เมื่ออยู่ภายใต้แสงอัลตราไวโอเลต (UV) เช่น แสงแดดจัด หรือแสงไฟ Blacklight ระดับของสารเรืองแสงมีตั้งแต่ None (ไม่มีเลย) ไปจนถึง Very Strong (เรืองแสงมาก)

  • เพชรที่ไม่มี Fluorescence (None) ราคาสูงกว่า
  • เพชรที่มี Fluorescence (โดยเฉพาะระดับ Medium หรือ Strong) ราคาถูกกว่า โดยเฉพาะเพชรน้ำงาม (Color D-G) เพราะเชื่อกันว่าสารเรืองแสงอาจทำให้เพชรดู “ขุ่นมัว” หรือ “มีลักษณะคล้ายน้ำมัน” ในบางสภาวะแสง อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริงแล้ว เพชรส่วนใหญ่ที่มี Fluorescence ไม่ได้แสดงผลกระทบที่สังเกตเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่ค่านิยมและตลาดก็มีผลต่อราคาค่ะ

3. คุณภาพการเจียระไนย่อย (Polish & Symmetry) – ความละเอียดที่ซ่อนอยู่

แม้เพชรจะมี Cut Grade เป็น Excellent แล้ว แต่ในใบรับรองยังมีรายละเอียดปลีกย่อยที่สำคัญมากอีกสองส่วน ซึ่งส่งผลต่อประกายไฟ ความเงา และความสวยงามโดยรวมของเพชรอย่างเห็นได้ชัด นั่นคือ Polish (ความเงาของพื้นผิว) และ Symmetry (ความสมมาตรของเหลี่ยมเพชร)

  • GIA (Gemological Institute of America)  Triple Excellent  คือเกรดสูงสุด สำหรับเพชร ทรงกลม (Round Brilliant Cut) ไม่ว่าจะเป็นเพชรธรรมชาติหรือเพชรแลป GIA จะใช้ “3 Excellent” (Cut, Polish, Symmetry เป็น Excellent ทั้งหมด) เป็นเกรดสูงสุด
    • ความเข้มงวดและรายละเอียด  GIA มีชื่อเสียงในเรื่องความเข้มงวดและมาตรฐานที่แม่นยำในการประเมิน Polish และ Symmetry รายงานของ GIA จะมีรายละเอียดของการประเมินที่แม่นยำเกี่ยวกับลักษณะของตำหนิที่เกิดจากการขัดเงา (Polish features) และความคลาดเคลื่อนของสมมาตร (Symmetry deviations) ซึ่งจะอยู่ในส่วนของ “Comments” หรือ “Plotting Diagram”
  • IGI (International Gemological Institute)  Ideal Cut คือเกรดสูงสุดสำหรับ Cut ของเพชรทรงกลม       IGI ได้นำเกรด “Ideal” มาใช้เป็นเกรดสูงสุดสำหรับ Overall Cut Grade ซึ่งอยู่เหนือกว่า Excellent เล็กน้อย
    • การประเมิน Polish & Symmetry  IGI ก็มีการให้เกรด Polish และ Symmetry ที่เชื่อถือได้เช่นกัน โดยใช้เกณฑ์เดียวกับ GIA (Excellent, Very Good, etc.) แต่คำว่า “Ideal” จะถูกใช้ใน Overall Cut Grade สำหรับเพชรทรงกลมที่เจียระไนได้สมบูรณ์แบบที่สุดตามมาตรฐานของ IGI
    • การยอมรับในตลาดเพชรแลป เนื่องจาก IGI เป็นที่นิยมอย่างสูงในตลาดเพชร แลป ผู้ผลิตและผู้ค้าส่วนใหญ่จึงใช้มาตรฐานของ IGI สำหรับ Polish และ Symmetry รวมถึงเกรด Ideal Cut เป็นเกณฑ์สำคัญในการประเมินคุณภาพและกำหนดราคา

4. ตำหนิ (Inclusions & Blemishes) – ไม่ใช่แค่ระดับ แต่คือประเภทและตำแหน่ง

เพชรที่มี “Clarity Grade” (ระดับความสะอาด) เท่ากัน (เช่น VS1) แต่อาจมีประเภทของตำหนิ (เช่น จุดดำ, เส้นแตก, ผลึก) และตำแหน่งของตำหนิที่แตกต่างกัน

  • ตำหนิที่เล็กมาก  ซ่อนอยู่บริเวณขอบ หรือมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า มักจะมีราคาสูงกว่า
  • ตำหนิที่ใหญ่ขึ้น  อยู่ใจกลางเพชร หรือส่งผลต่อความแข็งแรงของเพชร อาจทำให้ราคาถูกลง เพราะส่งผลต่อความสวยงามที่มองเห็นได้ หรืออาจทำให้เพชรเสี่ยงต่อการแตกหักได้ง่ายกว่า

5. BGM (Brown, Green, Milky) – สีและลักษณะที่ไม่พึงประสงค์

BGM ย่อมาจาก Brown (น้ำตาล), Green (เขียว), และ Milky (ขุ่น) ซึ่งเป็นสีหรือลักษณะที่ไม่พึงประสงค์ที่อาจพบใน เพชรแลป ถึงแม้จะไม่ถูกระบุอย่างเป็นทางการในใบรับรอง 4Cs แต่ BGM มีผลต่อความสวยงามและมูลค่าของเพชรอย่างมาก

  • Brown (น้ำตาล) เพชรที่มีสีน้ำตาลเจือปนจะดูหมอง ไม่สดใส และมีราคาต่ำกว่าเพชรขาวบริสุทธิ์
  • Green (เขียว)  เพชรที่มีสีเขียวเจือปน (ซึ่งอาจเกิดจากรังสีหรือการปรับปรุงคุณภาพ) ทำให้เพชรดูไม่บริสุทธิ์เท่าที่ควร และอาจมีข้อกังวลเรื่องแหล่งที่มาหรือการปรับปรุงคุณภาพ
  • Milky (ขุ่น)  เพชรที่ดูขุ่นมัวเนื่องจากมีตำหนิขนาดเล็กมากที่กระจายแสง ทำให้เพชรไม่มีประกายระยิบระยับและดูด้อยค่าลงอย่างเห็นได้ชัด

 ก่อนซื้อคุณควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าเพชรไม่มี BGM  เพราะเพชรที่มี BGM จะมีราคาที่ถูกกว่าเพชรที่ไม่มี BGM อย่างชัดเจน ทางที่ดี ควรเลือกร้านที่มีระบุว่า ไม่ติด bgm เพื่อความสบายใจ

6. Bow Tie Effect – ปรากฏการณ์โบว์ไท

Bow Tie Effect คือเงาดำคล้ายโบว์ไทที่ปรากฏตรงกลาง เพชรแลป ซึ่งจะเห็นได้ชัดเจนโดยเฉพาะในเพชร ทรงแฟนซี (Fancy Shape) เช่น ทรงไข่ (Oval), ทรงหยดน้ำ (Pear), ทรงมาร์คีส์ (Marquise) และทรงหัวใจ (Heart) โดยพื้นฐานแล้วเงา Bow Tie จะมีอยู่ในเพชรทรงแฟนซีส่วนใหญ่ ไม่มากก็น้อย

ไม่ใช่ปรากฏการณ์ที่สามารถกำจัดให้หายไปได้ 100% สิ่งที่สำคัญคือ “ระดับความโดดเด่น” หรือ “ความชัดเจน” ของ Bow Tie ต่างหากค่ะ

  • สาเหตุ  เกิดจากสัดส่วนหรือมุมของเหลี่ยมเพชรด้านล่าง (Pavilion) ที่ไม่เหมาะสม ทำให้แสงลอดผ่านเพชรไปด้านหลัง แทนที่จะสะท้อนกลับขึ้นมา
  • ผลกระท ทำให้เพชรดูมืดทึบ ขาดประกายไฟ และลดความสวยงามโดยรวม รวมถึง ลดมูลค่าของเพชรลงอย่างชัดเจน
  • การแก้ไข  ทำได้โดยการเจียระไนเพชรใหม่ แต่ก็อาจทำให้เพชรมีขนาดเล็กลงได้

ควรตรวจสอบ Bow Tie Effect อย่างละเอียดด้วยตาเปล่าก่อนซื้อเพชรทรงแฟนซี โดยเฉพาะในสภาวะแสงที่แตกต่างกัน เพราะเพชรที่มี Bow Tie Effect ไม่สวยงาม (คือเห็นเงาดำชัดเจน รบกวนประกายเพชร) จะมีราคาที่ถูกกว่าอย่างชัดเจน เมื่อเทียบกับเพชรทรงเดียวกันที่มีสเปค 4Cs ใกล้เคียงกัน แต่มี Bow Tie Effect น้อยหรือไม่ปรากฏเลย

7. กลยุทธ์การตั้งราคาและต้นทุนของร้านค้า

ปัจจัยสุดท้ายนี้ก็มีส่วนสำคัญไม่แพ้กัน

  • แหล่งที่มา/การจัดซื้อ  ร้านที่สามารถซื้อเพชรมาได้ในปริมาณมาก หรือมีช่องทางการจัดซื้อโดยตรงจากผู้ผลิต/ผู้ค้าส่งขนาดใหญ่ อาจได้เพชรมาในราคาต้นทุนที่ถูกกว่า ทำให้สามารถขายในราคาที่แข่งขันได้
  • ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน  ร้านค้าที่มีหน้าร้านหรูหรา ทำเลดีใจกลางเมือง มีค่าเช่า ค่าการตลาด ค่าพนักงานสูงกว่า ย่อมต้องตั้งราคาเพชรให้สูงขึ้นเพื่อครอบคลุมต้นทุนและทำกำไร
  • นโยบายการทำกำไร  ร้านค้าแต่ละแห่งมีนโยบายการตั้งราคากำไรต่างกัน บางร้านอาจเน้นการขายปริมาณมากโดยทำกำไรต่อชิ้นน้อยกว่า ในขณะที่บางร้านอาจเน้นการขายในราคาที่สูงกว่าเพื่อรักษาภาพลักษณ์แบรนด์
  • โปรโมชั่นและส่วนลด  ช่วงเวลาจัดโปรโมชั่นพิเศษ หรือการให้ส่วนลดเฉพาะลูกค้า ก็เป็นปัจจัยที่ทำให้ราคาเพชรแตกต่างกันได้
  • การปิดกิจการ/ล้างสต็อก  ในกรณีที่ร้านกำลังจะปิดกิจการ อาจมีการ “เทราคา” เพื่อระบายสต็อกสินค้า แต่ก็แลกกับการที่ลูกค้าอาจจะไม่ได้รับบริการหลังการขายเท่าที่ควร หรือมีปัญหาตามมาภายหลังได้

สรุปแล้ว

เมื่อคุณเจอ เพชรแลป สเปคเดียวกันเป๊ะๆ แต่ราคาต่างกัน สิ่งแรกที่คุณต้องตรวจสอบคือ ใบรับรองว่าเป็นของสถาบันใด จากนั้นให้เจาะลึกรายละเอียดของ Polish, Symmetry, Fluorescence ที่ระบุในใบเซอร์ และที่ไม่มีระบุในใบเซอร์ BGM, และ Bow Tie  Effect สุดท้าย พิจารณาปัจจัยด้านกลยุทธ์ราคาของร้านค้า ด้วย

การทำความเข้าใจปัจจัยเหล่านี้จะช่วยให้คุณตัดสินใจเลือกซื้อเพชรได้อย่างชาญฉลาด และมั่นใจว่าคุณได้รับเพชรที่คุ้มค่ากับราคาที่จ่ายไปมากที่สุดค่ะ